เจ็ดมหัศจรรย์เขาดิน

สวนสัตว์ดุสิตนี้มีตัวชูโรงคือ  “7 มหัศจรรย์สวนสัตว์ดุสิต” ได้แก่
1. แพนด้าแดงขนปุย

มหัศจรรย์สิ่งแรก เริ่มต้นกันที่ “แพนด้าแดง” กันก่อนเลย สวนสัตว์เชียงใหม่มีแพนด้าขอบตาดำ ที่สวนสัตว์ดุสิตก็มีแพนด้าแดงขนฟูน่ารักน่าเอ็นดูไม่แพ้กัน แพนด้าแดงนี้มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศเนปาล จีน แถบเทือกเขาหิมาลัย เป็นสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ของโลกซึ่งได้รับการคุ้มครอง สำหรับในเมืองไทยหาชมได้ที่สวนสัตว์ดุสิตที่เดียวเท่านั้น

เจ้าแพนด้าแดงขนปุกปุยน่ากอดนี้กินใบไผ่อ่อนเป็นอาหารหลัก และกินได้มากถึงวันละ 200,000 ใบต่อวัน โดยจะออกหากินในช่วงใกล้ค่ำ และใช้เวลาถึง 12 ชั่วโมงต่อวันในการกินอาหาร ส่วนในตอนกลางวันมันก็จะนอนอาบแสงแดดอุ่นๆ แหม…ชีวิตช่างน่าอิจฉาเสียนี่กระไร หากใครอยากรู้ว่าแพนด้าแดงกับแพนด้าสีขาวดำมีความเหมือนและต่างกันอย่างไรบ้าง ก็ต้องลองมาดูกันที่นี่

2. ค่างห้าสี มูลค่าตัวละไม่ต่ำกว่าสิบล้าน

มหัศจรรย์ที่สอง อยู่ข้างกรงแพนด้าแดงกันเลยทีเดียว นั่นก็คือ “ค่างห้าสี” ค่างที่มีสีสันสวยงามที่สุดในโลก โดยตามตัวจะมีสีตัดกันถึง 5 สี ตัวและหัวมีสีเทา หน้าผากมีสีเทาดำออกแดง หนวดเคราสีขาว หางและก้นสีขาว ใบหน้าสีเหลือง และส่วนขามีสีน้ำตาลแดง ค่างสีสวยชนิดนี้มักถูกลักลอบล่าเพื่อนำลูกค่างมาขาย ทำให้ค่างห้าสีมีจำนวนลดลงจนองค์กรอนุรักษ์สัตว์ป่าโลกต้องจัดให้ค่างชนิด นี้อยู่ในบัญชีแดง ซึ่งหมายถึงสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ ห้ามซื้อ ขาย และล่า

แม้จะเป็นสัตว์ที่หาได้ยาก แต่สำหรับที่สวนสวนสัตว์ดุสิตแล้วถือเป็นศูนย์เพาะพันธุ์ค่างห้าสีที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีการเพาะเลี้ยงเพาะพันธุ์ค่างห้าสีจนตอนนี้มีจำนวนมากกว่า 30 ตัวด้วยกัน โดยแต่ละตัวนั้นก็มีมูลค่าตัวละไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาทเลยทีเดียว

3. ภายในหลุมหลบภัย

จากกรงค่างห้าสี เราเดินกันต่อมาเรื่อยๆ ผ่านค่างแว่น ผ่านลิงอุรังอุตัง และผ่านส่วนจัดแสดงสัตว์เลื้อยคลาน ฉันเองไม่ค่อยถูกโฉลกกับพวกสัตว์ไร้ขาสักเท่าไร แต่เผอิญข้างในติดแอร์เย็นฉ่ำก็เลยชะแว้บเข้าไปดูเสียหน่อย แล้วก็ได้ตื่นตาพร้อมกับขนลุกขนพองไปกับงูอนาคอนด้า งูหลาม งูเหลือม งูเห่า และสัตว์เลื้อยคลานอื่นๆ อีกมากมายก่อนจะมาพบกับมหัศจรรย์ที่สาม ที่ “หลุมหลบภัย” ใกล้ๆ กับบ่อน้ำของแม่มะลิ ฮิปโปโปเตมัสนั่นเอง

หลุมหลบภัยในสวนสัตว์แห่งนี้ไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อให้นักท่องเที่ยว ได้ใช้หลบภัยกรณีมีเหตุการณ์เสือหลุดจากกรงแต่อย่างใด แต่หลุมหลบภัยนี้สร้างขึ้นในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่สองเพื่อให้นักท่อง เที่ยวที่มาเที่ยวสวนสัตว์รวมถึงประชาชนที่อยู่ใกล้เคียงเข้ามาหลบลูกระเบิด ที่เครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตรจะเข้ามาโจมตี โดยหลุมหลบภัยนี้ถือเป็นหลุมหลบภัยสาธารณะสมัยสงครามโลกครั้งที่สองที่ยังสมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทย

หลังจากที่สงครามสงบก็ได้มีการปรับปรุงพื้นที่ โดยมีการสร้างภูเขาจำลองครอบทับทำเป็นกรงเลี้ยงเลียงผา ก่อนที่จะมีการปรับปรุงอีกครั้ง โดยฟื้นฟูสภาพของหลุมหลบภัยกลับคืนให้คนในปัจจุบันได้เห็น ภายในมีการจัดแสดงหุ่นจำลองประชาชนที่เข้ามาหลบลูกระเบิดด้านใน ส่วนด้านนอกนั้นก็มีการจัดนิทรรศการแสดงภาพถ่ายและข้อมูลเกี่ยวกับสงครามโลก ครั้งที่สองในประเทศไทย

4. เก้งเผือกสีขาวสะอาดทั้งตัว

มหัศจรรย์ที่สี่นั้นอยู่ข้างๆ หลุมหลบภัยกันเลย นั่นก็คือ “เก้งเผือก” เก้งขนสีขาวสะอาดทั่วทั้งตัวที่มีรายงานการพบที่เดียวในโลกคือที่ประเทศไทย โดยเก้งเผือกตัวแรกที่พบนั้นก็คือ “เพชร” เก้งเผือกเพศผู้พบที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก และจากการผสมพันธุ์เจ้าเพชรก็ทำให้เราได้ลูกเก้งเผือกมาอีกถึง 5 ตัวด้วยกัน โดยเก้งเผือกตัวที่ 5 หรือ “หมอก” นั้นเพิ่งจะเกิดใหม่ และมีการเปิดตัวไปเมื่อช่วงวันเข้าพรรษาที่ผ่านมานี้เอง

5. ฝูงละมั่งพันธุ์ไทยฝูงสุดท้ายของไทย

ข้างกรงเก้งเผือกนั้นก็เป็นมหัศจรรย์ต่อมา คือ “ละมั่งพันธุ์ไทย” สัตว์ป่าสงวนที่สูญพันธุ์ไปจากธรรมชาติ เมื่อก่อนนี้เคยพบอยู่ในแถบภาคตะวันออกและอีสานใต้ จังหวัดตราด จันทบุรี และปราจีนบุรี แต่ปัจจุบันสามารถพบเห็นได้ที่สวนสัตว์ดุสิตแห่งเดียวเท่านั้น

ละมั่งพันธุ์ไทยตัวผู้เมื่อโตเต็มที่จะมีเขาโง้งสวยงาม และพวกมันยังมีความปราดเปรียวว่องไว สายตาดี และรับกลิ่นได้ไวอีกด้วย ละมั่งพันธุ์ไทยจะอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง ดังนั้นฝูงละมั่งที่สวนสัตว์ดุสิตนี้จึงเป็นละมั่งพันธุ์ไทยฝูงสุดท้ายที่ ใหญ่ที่สุดในโลก

6. ทิวทัศน์ของพระที่นั่งอนันตสมาคม เมื่อมองจากสวนสัตว์ดุสิต


เดินชมบรรดาสิงสาราสัตว์มาตลอดทางแล้ว หันกลับมาชมทิวทัศน์อันงดงามในสวนสัตว์กันบ้างดีกว่า โดย “จุดชมวิวพระที่นั่งอนันตสมาคม” นั้น ถือเป็นมหัศจรรย์แห่งเขาดินจุดต่อไป โดยเมื่อมองจากริมสระน้ำภายในสวนสัตว์ดุสิตไปแล้วจะสามารถมองเห็นยอดโดมของพระที่นั่งอนันตสมาคม อยู่ท่ามกลางแมกไม้ ขณะที่ในสระน้ำก็มีจักรยานนาวาสีสดใสลอยไปมาทำให้ทิวทัศน์น่าชมมากยิ่งขึ้น อีกทั้งบริเวณเกาะเล็กๆ กลางสระน้ำของสวนสัตว์นั้น ก็ยังมีศาลาเรือนไทย ที่เคยเป็นสถานที่ประทับพักผ่อนพระราชอิริยาบถของล้นเกล้ารัชกาลที่ 5

7. ต้นสักที่เป็นดังอนุสรณ์สถานความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับเดนมาร์ก


มาถึงมหัศจรรย์แห่งเขาดินสิ่งสุดท้าย มหัศจรรย์ที่ 7 ไม่ใช่สัตว์อีกเช่นกัน แต่เป็น “ต้นสัก” ซึ่งนอกจากจะเป็นต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาแล้ว ก็ยังถือเป็นอนุสรณ์สถานที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรเดนมาร์กอีกด้วย โดยสองราชอาณาจักรนี้ได้มีการติดต่อสัมพันธ์กันมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา และมีความสัมพันธ์อันดีต่อมาจนถึงปัจจุบัน และในสมัยรัชกาลที่ 5 เจ้าชายวัลเดอร์มาร์ พระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าคริสเตียนที่ 8 แห่งเดนมาร์ก ได้เสด็จมาเยือนประเทศสยามอย่างเป็นทางการเมื่อปี พ.ศ.2443 การเสด็จเยือนในครั้งนั้น รัชกาลที่ 5 ได้พระราชทานเลี้ยงกลางวันที่สวนดุสิต และได้ทรงปลูกต้นสักเป็นที่ระลึกในการเสด็จเยือน และยังคงมีหลักฐานเป็นต้นสักทอง และมีศิลาสลักอักษรจารึกไว้ให้เห็นจนปัจจุบัน

และนี่ก็เป็น “7 มหัศจรรย์สวนสัตว์เขาดิน” ที่นอกจากจะมีบรรดาสิงสาราสัตว์ที่น่ารักหลากหลาย บ้างก็เป็นหนึ่งเดียวในโลก บ้างก็หาชมได้ยากยิ่งแล้ว ที่นี่ก็ยังมีประวัติศาสตร์น่าสนใจ สมกับเป็นสวนสัตว์แห่งแรกของเมืองไทย

ที่มา : ASTV ผู้จัดการออนไลน์  14 กรกฎาคม 2552 15:16

You can leave a response, or trackback from your own site.

Leave a Reply